เรื่องการเปลี่ยนแปลงตัว กุนซือ ในแวดวงกีฬาฟุตบอลเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะในลีกใหญ่ๆที่ความอดทนของบอร์ดบริหาร มักจะไม่ให้โอกาสความผิดพลาดมากนัก และต้องการความสำเร็จแบบรวดเร็วที่สุด
และแน่นอนว่าความคาดหวังของทีมใหญ่อย่าง เชลซี ที่เปลี่ยนผ่านยุคความสำเร็จที่สุดของ โรมัน อบราโมวิช มาเป็น ท็อดด์ โบห์ลี กลายเป็นสโมสรเจ้าบุญทุ่มรายใหม่ทันที ภายใต้การนำทัพของกลุ่มทุนเงินหนาจากสหรัฐฯ
ทว่าการบริหารแบบ “อเมริกันเกมส์สไตล์” ที่มักจะใช้เวลาการสร้างทีม กลับตรงข้ามกับ โบห์ลี ที่ไม่ได้ใจเย็นขนาดนั้น เห็นได้จากการใช้เงินที่สูงถึง 600 ล้านปอนด์ ในการซื้อนักเตะ ในระยะเวลาแค่เพียงปีเดียว แต่กลับกันพวกเขากำลังจะเปลี่ยน กุนซือ คนที่ 5 ในฤดูกาลแรก
เพราะเหตุใดถึงมีการเปลี่ยนแปลงแบบบ้าคลั่ง กุนซือทำทีมไม่ดี? เจ้าของทีมใจร้อน? เราจะไปหาคำตอบกัน
คนแรก : โธมัส ทูเคิ่ล
ต้องถูกพูดถึงมากหน่อย เพราะนี้คือ กุนซือ 2 ยุค ตั้งแต่ โรมัน อบราโมวิช เจอปัญหาจนไม่สามารถพา เชลซี ไปต่อได้ ทูเคิ่ล คือกุนซือคนสุดท้ายที่อยู่ข้างกาย และพาทีมประสบความสำเร็จมากที่สุดในฟุตบอลยุโรปยุค 10 ปีหลังสุด
- แชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก : 2020-21
- แชมป์ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ : 2021
- แชมป์สโมสรโลก ฟีฟ่า คลับ เวิลด์คัพ : 2021
- รองแชมป์เอฟเอ คัพ : 2020-21, 2021-22
- รองแชมป์คาราบาว คัพ (ลีกคัพ) : 2021-22
นี่คือความยิ่งใหญ่ แม้จะไม่เข้าใกล้คำว่าแชมป์ลีก แต่พาทีมเป็นแชมป์ยุโรปครั้งแรกในรอบเกือบ 10 ปี ต่อจาก โรแบร์โต ดิ มัตเตโอ เมื่อปี 2012 และทิศทางของตัวเขากำลังจะสร้าง เชลซี ให้แข็งแกร่งแบบยั่งยืน แต่ต้องอกหักแบบสายฟ้าแลบเสียก่อน
การเข้ามาของ ท็อดด์ โบห์ลี ให้เวลา ทูเคิ่ล แค่เพียง 6 เกมเท่านั้น ในฤดูกาล 2022-23 ก่อนจะตัดสินใจไล่กุนซือชาวเยอรมัน แบบช็อกแฟนบอล เพราะทำผลงาน เก็บได้เพียง 10 คะแนน จาก 6 เกม ตามหลัง อาร์เซน่อล จ่าฝูง 5 คะแนน
ไม่เพียงเท่านั้น การประเดิมพ่าย ดินาโม ซาเกร็บ 1-0 ในศึกยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก รอบแบ่งกลุ่ม นัดแรก แต่ใครจะคิดว่าการตัดสินใจครั้งนั้น จะเป็นหายานะครั้งรุนแรงที่สุดของสโมสร เพียงเพราะความอดทนที่ไม่มากพอจากเจ้าของทีมมือใหม่ แต่ ทูเคิ่ล ก็ได้รับเงินว่างงานไปมากถึง 13 ล้านปอนด์ (ประมาณ 550 ล้านบาท)
กุนซือ คนที่ 2 : เกรแฮม พอตเตอร์
นี่คือกุนซือหนุ่มมือดีจากทีมเล็กๆอย่าง ไบรท์ตัน ที่สร้างทีมขึ้นมาเขย่าขวัญยักษ์ใหญ่ในลีกแบบแข็งแกร่ง แต่การใช้เงินในครั้งนี้ต้องทุ่มสูงถึง 21.5 ล้านปอนด์ (903 ล้านบาท) เพราะสัญญาของเขากับทีมเก่ายังเหลืออยู่
ทุกคนในสโมสร แฟนบอล บอร์ดบริหาร นักเตะ คาดหวังกับกุนซือรายนี้มาก เพราะเพิ่งช็อกกับเหตุการณ์ปลดยอดกุนซืออย่าง โธมัส ทูเคิ่ล แถมต้องใช้เงินมากถึงเกือบพันล้านบาท และการคัดสรรครั้งนี้มาจาก โบห์ลี 100% ช่วงแรกคือช่วงฮันนี่มูน
- คุมทีม 9
- ชนะ 6
- เสมอ 3
- แพ้ 0
- ยิง 15
- เสีย 4
แต่หลังจากนั้น พอตเตอร์ คือกุนซือยอดแย่ตลอดกาลของ เชลซี ชนะแค่ 7 เสมอ 7 แพ้ 8 จาก 22 เกมในพรีเมียร์ ลีก นี่คือผลงานแย่สุดของประวัติสโมสร เพราะมีค่าเฉลี่ยเก็บแต้มต่อเกมเพียงแค่ 1.27 คะแนน
นี่คือการเดินเกมที่ผิดพลาด เพราะเห็นได้ชัดว่า พอตเตอร์ เป็นโค้ชที่เก่งกาจ แต่ประสบการณ์ยังไม่ถึงขั้นในการคุมทัพทีมใหญ่ๆ และแบกรับความกดดันสูงกับทีมอย่าง เชลซี สุดท้าย โบห์ลี ต้องกัดฟันอีกรอบ ปลดกุนซือที่ตัวเองเลือกมา พร้อมกับค่าชดเชยสูงถึง 13 ล้านปอนด์ (550 ล้านบาท)
ขัดตาทัพ 1 : บรูโน่ ซัลตอร์
แฟน เชลซี มองว่าความเจ็บปวดในฤดูกาลนี้ เพียงพอแล้ว ทีมไม่ควรจะหาทำดึงกุนซือคนไหนเข้ามาลองทีมอีก เอาให้สุดแล้วค่อยไปคัดเกรดหัวกะทิในฤดูกาลหน้ามาดีกว่า นั่นทำให้ บรูโน่ ซัลตอร์ 1 ในผู้ช่วยของ เกรแฮม พอตเตอร์ จะคุมทีมจนจบฤดูกาล
ทว่าความคาดหวังนั้นสิ้นสุดลงเพียงไม่ถึง 1 สัปดาห์ หลังเจ้าตัวได้ลงคุมทีม 1 เกม ในนัดที่เสมอกับ ลิเวอร์พูล 0-0 ก่อนจะแยกทางกันเพราะกุนซือขัดตาทัพคนใหม่ ที่หน้าเก่า กำลังจะเข้ามาสานงานต่อ
ขัดตาทัพ 2 : แฟร้งค์ แลมพาร์ด
ตำนานนักเตะ ที่เคยพันตัวมาเป็นกุนซือของทีม แต่ผลงานไม่สวยหรู จนโดนปลดจากตำแหน่ง ได้รับโอกาสเป็นกุนซือขัดตาทัพคนที่ 2 ในฤดูกาลนี้ เป้าหมายในตอนนั้นคือการพาทีมไปให้ได้ไกลที่สุดในรายการเดียวที่เหลือลุ้นแชมป์อย่าง ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก แต่สุดท้ายก็พ่าย เรอัล มาดริด ทั้งไปและกลับ ร่วงตกรอบ 8 ทีม ตามคาด
ไม่เท่านั้นผลงานในลีก 6 เกมของเจ้าตัว แพ้ไปถึง 4 นัด ชนะได้แค่เกมเดียวเท่านั้น จากที่จะให้เข้ามาเพื่อประคับประคอง สุดท้ายต้องลุ้นหนีตกชั้น แม้ในฤดูกาลนี้จะรอดตัวแล้ว แต่การลุ้นกลับมาเป็นกุนซือถาวรถูกปิดประตูลงไปทันที กับผลงาน 2 ครั้งที่คุมทีม 22 นัด ชนะ 2 แพ้ 17 เสมอ 3
ว่าที่ กุนซือ คนใหม่ : เมาริซิโอ โปเช็ตติโน
แม้ทุกคนคิดว่าตำแหน่งกุนซือของ เชลซี คงจะหยุดแค่ แลมพาร์ด ในฤดูกาลนี้ แต่อะไรก็เกิดขึ้นได้ เพราะล่าสุดทุกสื่อรายงานไปในทิศทางเดียวกัน โปเช็ตติโน เตรียมกลับมารับงานในกรุงลอนดอน แต่เปลี่ยนจากสีขาว สเปอร์ส ไปอยู่ฝั่งสีน้ำเงิน เชลซี
สุดท้ายแล้วการเปลี่ยนแปลงครั้งที่ 5 ของทีมภายในระยะเวลา 1 ปี จะถึงจุดจบและลงตัวแล้วหรือยัง หากไม่ เชลซี จะยังวนลูปนรกเปลี่ยนแปลงไม่จบสิ้น และความสำเร็จจะห่างไกลพวกเขาไปเรื่อยๆ
ติดตามช่องทางอื่นๆ ได้ที่
Website : โคตรบ้าบอล
Facebook : โคตรบ้าบอล
Instagram : kodbaball.official
YouTube : โคตรบ้าบอล
ขอบคุณผู้สนับสนุนหลัก : ufabet