Gvardiol เสริมแนวรับ Manchester City แกร่งครบเครื่อง Manchester City ทีม “แชมป์เก่า” จะเปิดฤดูกาล Premier League ฤดูกาล 2023-24 ด้วยการลงเล่นในคืนวันศุกร์ที่ 11 ส.ค. โดยบุกเยือนทีมน้องใหม่อย่าง Burnley แถมกุนซือของทีม Burnley ก็ยังเป็น Vincent Kompany อดีตปราการหลังและกัปตันทีมของ “เรือใบสีฟ้า” อีกต่างหาก
ทีมอื่น ๆ จะออกสตาร์ตนัดแรกตั้งแต่กลางเดือน ส.ค. นี้เช่นกัน ส่วนการเล่นนัดแรกในถิ่น Etihad Stadium จะเป็นในวันที่ 19 ส.ค. ที่จะเปิดบ้านรับการมาเยือนของ Newcastle
Pep Guardiola กับ Trophy 2022-2023
ฤดูกาลที่ผ่านมา Pep Guardiola สามารถพา แมนซิตี้ กวาด 3 แชมป์ในฤดูกาลเดียว ถือว่าผลงานพีกสุดขีด จนถูกตั้งคำถามว่าจะสามารถพาทีมรักษาระดับการเล่นไว้เช่นเดิมได้หรือไม่
Premier League, FA Cup และ Champions League สามารถกวาดมาครองได้หมด และยังมีโอกาสหยิบแชมป์เพิ่มหากว่าเอาชนะ Sevilla ในศึก Super Cup ในสิ้นเดือนนี้ และจากนั้นก็จะไปลุ้นแชมป์สโมสรโลกที่ประเทศซาอุดิอาระเบีย
ผลงาน Man City ในช่วงออกสตาร์ตของ Premier League
หากดูผลงานในช่วงออกสตาร์ตของ Premier League ฤดูกาลที่แล้ว “เรือใบสีฟ้า” ถือว่าเครื่องร้อนช้า พวกเขาพ่าย Liverpool ในศึก Community Shield โดย Erling Haaland ยิงประตูพลาดอย่างเหลือเชื่อในเกมชิงถาดแชมป์ Community Shield
แต่หลังจากผ่านพ้น 13 เกมแรกของฤดูกาลไปแล้ว ก็เก็บชัยชนะได้ 10 เกมและ Haaland ยิงได้ 18 ประตู
Michael Owen
Michael Owen อดีตกองหน้าทีมชาติอังกฤษ ผู้เคยผ่านการเล่นให้สโมสรยักษ์ใหญ่ในอังกฤษมาแล้วหลายแห่งไล่ไปตั้งแต่ Liverpool, Newcastle และ Manchester United มีความคิดเห็นว่า Man City ยังคงเป็นทีมแกร่งทั่วแผ่นและจะรักษาแชมป์ลีกไว้ได้อีกสมัย และก็คิดว่า Arsenal น่าจะจบฤดูกาลด้วยการได้รองแชมป์เป็นฤดูกาลที่สองติดต่อกัน แม้ว่าจะใช้งบก้อนโตคว้าตัว Declan Rice, Jurrien Timber และ Kai Havertz มาร่วมทีมก็ตาม
ส่วน Liverpool น่าจะกลับมาคืนฟอร์มและซิวอันดับ 3 ได้โควตาไปเตะ UEFA Champions League กลับคืนมาอีกครั้ง ส่วน “ผีแดง” น่าจะได้อันดับ 4 และอดีตต้นสังกัดเก่าอย่าง “สาลิกาดง” น่าหลุดจากวงโคจรของการลุ้นท็อปโฟร์และอาจจะได้อันดับที่ 7 ด้วยซ้ำไป
อย่างไรก็ตาม บรรดาคอมเมนเตเตอร์ คอลัมนิสต์หลายคนก็ยังตั้งข้อสงสัยว่า “เรือใบสีฟ้า” ซึ่งประสบความสำเร็จสูงสุดในฤดูกาลที่ผ่านมาจะสามารถรักษามาตรฐานการเล่นของตัวเองเอาไว้ได้เหมือนเดิมหรือไม่ และมีปัจจัยที่น่าพิจารณานอกจากความอิ่มตัวของผู้เล่นหลายคนแล้วก็คือมีผู้เล่นตัวหลักย้ายออกไปหลายคนด้วยเช่นกัน
Ilkay Gundogan และ Riyad Mahrez 2 ตัวหลักที่ย้ายออก
Ilkay Gundogan มิดฟิลด์ทีมชาติเยอรมันและเป็นกัปตันทีมของ Man City เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมาได้ตัดสินใจย้ายไปร่วมทีม Barcelona ในฐานะนักเตะฟรี เอเยนต์หลังจากไม่ได้ต่อสัญญากับ Man City โดยผลงานของ Gundogan ก็คือลงเล่น 304 นัดในทุกรายการยิงได้ 60 ประตูกับ 40 แอสซิสต์ อีกคนที่ถือว่าเป็นกำลังสำคัญก็คือ Riyad Mahrez ปีกขวาทีมชาติแอลจีเรีย ก็ตัดสินใจย้ายไปร่วมทีม Al-Ahli อีกหนึ่งสโมสรดังของซาอุดิอาระเบียโดยมีค่าตัว 35 ล้านยูโร นอกจากนั้น Benjamin Mendy แบ็กซ้ายจอมอื้อฉาวก็ย้ายไปเล่นให้ FC Lorient แบบไม่มีค่าตัว
Josko Gvardiol แนวรับคนใหม่
Gvardiol เสริมแนวรับให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
ส่วนนักเตะใหม่ที่ซื้อเข้ามาต้องถือว่าซื้อเข้ามาไม่มากเลย แต่ก็เป็นดีลที่น่าสนใจมากเลยทีเดียว โดยล่าสุดก็คือการเซ็นสัญญาคว้าตัว Josko Gvardiol ปราการหลังทีมชาติโครเอเชียของ RB Leipzig มาร่วมทีมด้วยค่าตัว 78 ล้านปอนด์
ในฤดูกาลที่แล้วทั้งสองทีมเจอกันใน Champions League ปรากฏว่า Man City ไล่ถล่มเอาชนะ RB Leipzig 7-0 ประตู Erling Haaland เหมาทำคนเดียว 5 ประตู
ปราการหลังคนใหม่ให้สัมภาษณ์กับ เว็บไซต์อย่างเป็นทางการของ Manchester City ว่า ดีใจที่จะได้ร่วมงานกับ Haaland เพราะกองหน้าทีมชาตินอร์เวย์เป็นหนึ่งในกองหน้าทีดีที่สุดของโลกในขณะนี้ “เขาเป็นผู้เล่นที่รับมือด้วยยากจริงๆ แข็งแกร่ง รวดเร็ว มีคุณสมบัติของยอดศูนย์หน้าอย่างครบเครื่อง โชคดีมากที่ผมได้มาอยู่ทีมเดียวกับเขา ไม่ต้องการเหนื่อยในการประกบเขาอีกต่อไป”
Gvardiol น่าจะเป็นการลงทุนครั้งสำคัญของ Guardiola ถือว่าเป็นการสร้างทีมเพื่ออนาคต เพราะเขาเพิ่งมีอายุเพียง 21 ปี แต่กลายเป็นตัวหลักในทีมชาติโครเอเชียไปแล้ว และมีผลงานโดดเด่นในฟุตบอลโลกที่กาตาร์
เขาเริ่มต้นสร้างชื่อเสียงกับ Dinamo Zagreb และช่วยให้ทีมคว้าแชมป์ลีกของโครเอเชีย 2 สมัย จากนั้นจึงย้ายไปอยู่กับ RB Leipzig ในปี 2021 และช่วยให้ทีมคว้าแชมป์ German Cup
Mateo Kovacic รุ่นพี่ทีมชาติโครเอเชีย
ก่อนหน้านี้ “เรือใบสีฟ้า” ก็เสริมแผงห้องเครื่องด้วยการเซ็น Mateo Kovacic มิดฟิลด์ทีมชาติโครเอเชียมาจาก Chelsea และทำให้ Gvardiol น่าจะปรับตัวกับการเล่นในอังกฤษได้ง่ายขึ้น เพราะได้นักเตะรุ่นพี่มากประสบการณ์คอยชี้แนะ และเป็นที่เข้าใจกันอยู่ก่อนแล้วว่า Gvardiol ย้ายทีมมาเพราะจะได้เล่นกับนักเตะรุ่นพี่นั่นเอง
Kovacic วัย 29 ปี ผ่านประสบการณ์ในการเล่นทีมยักษ์ใหญ่มามากมายไม่ว่าจะเป็น Dinamo Zagreb, Inter Milan, Real Madrid ก่อนจะย้ายมาอยู่กับ “สิงโตน้ำเงินคราม” ตั้งแต่ปี 2019 และเคยคว้าแชมป์ Champions League ถึง 4 สมัย แบ่งเป็น 3 สมัยกับ “ราชันชุดขาว” และอีก 1 สมัยกับ Chelsea
หากว่า “สิงโตน้ำเงินคราม” ไม่มีความเปลี่ยนแปลงทีมครั้งใหญ่บางที Kovacic ก็คงไม่คิดย้ายทีมแน่ และการได้ร่วมงานกับ Guardiola ก็เป็นเรื่องท้าทายอย่างยิ่ง
